ประสบการณ์หาบ้านเช่าในสิงคโปร์

ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา ผมและน้องๆคนไทยได้ไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยกัน เนื่องด้วยสัญญาที่พักเก่าของเราใกล้จะหมดเร็วๆนี้แล้ว และในที่สุดวันที่ 3 มิถุนายน เราก็ได้บ้านใหม่กันสักที อยากบอกว่าการหาที่อยู่ในสิงคโปร์มันก็ไม่ง่าย โดยเฉพาะยุคข้าวยากหมากแพงก็ยิ่งซ้ำเติมให้หาที่อยู่ราคาถูกได้ยากขึ้นไปอีก เช่น บ้านเช่าระแวกที่ผมอยู่ตอนนี้ ราคาขึ้นจาก 1,400 เหรียญเป็น 2,100 เหรียญ เป็นต้น สำหรับหัวข้อนี้ผมอยากเล่าประสบการณ์ในการหาที่อยู่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาของผม ส่วนภาพประกอบ ผมจะไปถ่ายใหม่อีกครั้ง เพราะรูปที่มีตอนนี้ยังถ่ายไม่ครอบคลุมและมุมกล้องยังไม่สวยเท่าไหร่ ครั้งนี้เอาแค่ภาพห้องนั่งเล่นไปดูก่อนแล้วกัน

ขอแนะนำน้องคนที่จะมาพักอาศัยในบ้านหลังใหม่นี้ก่อน ประกอบด้วย 2 ชาย 2 หญิง นั่นคือ ผม, น้องยุ่น, น้องตู้ และก็น้องรีนา เราทั้ง 4 คนอยากได้ที่พักขนาด 3 ห้องนอน, 2 ห้องน้ำ, 1 ห้องนั่งเล่น และ 1 ห้องครัว โดย 3 ห้องนอน ประกอบด้วย 1 Master room (มีห้องน้ำในตัว) และ 2 Common rooms (ไม่มีห้องน้ำและพื้นที่ห้องจะเล็กกว่า Master room)  โดยผมจองห้อง Master room ส่วนห้อง Common room ทั้งสองแบ่งให้น้องรีนากับน้องตู้ สำหรับน้องยุ่นรับอาสาไปนอนห้องนั่งเล่น

ขอสอดแทรกเนื้อหาวิชาการนิดนึงครับ* ประชากรในสิงคโปร์ส่วนใหญ่พักอาศัยในบ้านที่เรียกว่า HDB จัดสรรโดยหน่วยงานที่ชื่อ Housing and Development Board จะว่าไปแล้ว HDB ก็คือแฟลทหรืออพาร์ทเมนต์ แต่คนที่นี่เขาก็เรียกกันว่าบ้านครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนถึงอยู่ HDB กันเยอะ ก็เพราะว่าบ้านที่ดูเป็นหลังจริงๆหรือว่ายูนิทในคอนโดมันแพงมากๆ (ราคาราวๆ 20 กว่าล้านบาทขึ้นไป) แพงเนื่องจากพื้นที่ประเทศจำกัดมากๆ ก็สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ใหญ่กว่ากรุงเทพประมาณ 100 ตร.กม.เท่านั้นเอง โดยไทยใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก ส่วนสิงคโปร์อันดับที่ 191 [อ้างอิง] ดังนั้นรัฐจึงต้องจัดสรรที่อยู่ให้ประชากรเกือบ 5 ล้านคนได้อยู่อาศัยบนเกาะอันน้อยนิด แม้จำนวนประชากรดูเหมือนจะน้อยกว่ากรุงเทพ (กรุงเทพมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน) แต่ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ของสิงคโปร์ติดอันดับ 4 ของโลก ส่วนไทยอันดับที่ 85 [อ้างอิง] อย่างไรก็ดี พื้นที่ของสิงคโปร์ก็มีการจัดเป็นโซน เช่น โซนธุรกิจ โซนอุตสาหกรรม โซนท่าเรือ โซนธรรมชาติ โซนที่ว่างเปล่า และก็โซนที่พักอาศัย เพื่อลดความหนาแน่นและดูปลอดโปร่ง อีกทั้งเป็นระเบียบมากขึ้น นอกจากนี้ ผมก็พบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง เมื่อไปดูค่า GDP ที่วัดโดย IMF อันบอกความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 24 ส่วนสิงคโปร์อันดับที่ 44 [อ้างอิง] แต่ตัวเลขนี้สอดคล้องกับสภาพโดยรวมของประเทศหรือเปล่า เช่น การศึกษา, ความมั่นคงทางการเมือง, ความยากจน, การว่างงาน, การคมนาคม, สุขภาพ, ความสุขสบายและปากท้องของประชาชน เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นอะไรที่ขัดแย้งกัน แต่ผมก็ยังคิดว่าคนไทยน่ารักกว่าครับ ไม่สิ น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ น่ารักทั้งหน้าตาและน้ำใจไมตรี  [ไม่มีอ้างอิง]

ข้อความต่อจากนี้ จริงๆมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย แต่นี่เป็นการสรุปโดยย่อๆ ย้ำ ย่อๆนะเนี่ย แต่ผมเล่นพิมพ์กันซะยาวปานว่าซ้อเจ็ดตีแผ่เรื่องฉาว

กลับมายังเนื้อหาที่ผมต้องการเล่ากันครับ ผม น้องยุ่นและน้องรีนาได้เริ่มออกตามล่าหาที่อยู่ประเภท HDB ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม ส่วนน้องตู้ลาพักร้อนไปพักที่เมืองไทย แต่น้องตู้ก็คอยแสดงความคิดเห็นและช่วยหาที่อยู่โดยการโทรศัพท์และSkypeตรงจากที่โน่น เริ่มต้นเราไปดูบ้านของเพื่อนน้องยุ่นที่บล็อก 276B ตั้งอยู่ Jurong West Avenue เมื่อวิวกันแล้ว น้องๆไม่ค่อยชอบ เพราะอากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวกทำให้มีกลิ่นอับในบ้าน อากาศอบอ้าว และยังห่างจากป้ายรถเมล์ที่จะพาเราไปเรียนพอสมควร อีกทั้งราคาค่าเช่าที่สูงถึง 2,100 เหรียญ (เหรียญสิงคโปร์ก็ประมาณ 23 – 24 บาท) โดยรวมราคากับสภาพไม่สอดคล้องกัน เราเลยเก็บบ้านหลังนี้ไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่สำหรับผม ผมชอบบล็อกนี้อยู่บ้างเพราะมันติดกับบล็อกที่ผมอยู่ปัจจุบันคือ 276C ห่างกันแค่ 10 เมตรเอง ซึ่งผมเคยชินกับพื้นที่แถวนี้ การย้ายของไปที่อยู่ใหม่ก็สะดวก ส่วนปัญหาป้ายรถเมล์ไกลก็ไม่ใช่อุปสรรคของผม

ในสิงคโปร์มีบริษัทเอกชนช่วยจัดหาที่อยู่อาศัย โดยส่วนใหญ่ ตัวแทนหรือนายหน้าจากบริษัทจะติดโฆษณาที่พักอาศัยไว้บนเว็บที่คนเข้ากันเยอะๆ และพวกผมก็เลือกที่จะใช้บริการจากบริษัทจัดหาที่อยู่เพราะว่าเร็วและได้ที่อยู่ตรงใจ แต่ตรงราคาหรือเปล่าอันนี้ก็ติดตามกันต่อ เริ่มแรก เราติดต่อไปที่บริษัทแห่งหนึ่ง โดยได้ตัวแทนจากบริษัทเป็นผู้หญิง ผมขอเรียกเธอว่า V แม้ว่าช่วงวันแรกที่ได้พบกันจะทำให้พวกเรารู้สึกไม่ชอบคุณ V ก็ตาม แต่พอเห็นน้ำใจของคุณ V เราก็เลยรู้สึกซาบซึ้งมากๆ เหตุการณ์มีว่าคุณ V นัดเราไปดูบ้านที่บล็อก 660B ในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม โดย 660B นี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟ MRT Boonlay  ซึ่งเป็นสถานีรถไฟกับสถานีเปลี่ยนรถเมล์ใกล้มหาลัยที่สุด อีกทั้งมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ใกล้มหาลัยที่สุดชื่อว่า Jurong Point โดยใช้ระยะเวลาเดินทางโดยเท้าจากสถานีรถเมล์(และรถไฟ)ไปบ้านก็ประมาณ 5 นาทีเท่านั้นเอง

ถึงวันนัดหมายวันที่ 30 พฤษภาคมเวลาบ่ายโมง เมื่อเราไปถึงชั้นล่างบล็อก 660B ก็พบคุณ V แต่เราต้องยืนรอตัวแทนหรือนายหน้าฝั่งเจ้าของบ้านซึ่งขอเรียกชื่อว่าคุณ R มาถึงก่อน รอไปกว่า 30 นาทีคุณ R ถึงจะโผล่หัวมา โอเคไม่เป็นไร เราทั้งหมด (ผม, ยุ่น, รีนา, V และ R) ก็ขึ้นลิฟต์ไปดูบ้านกัน  บ้านตั้งอยู่สูงกว่าชั้นที่ 10 (ไม่ขอเปิดเผยว่าอยู่ชั้นไหน) อากาศปลอดโปร่ง มีลมเย็นสบาย พื้นห้องเป็นกระเบื้อง ผนัง และเพดานสีขาวทำให้ดูสว่างตา มีบางส่วนตกแต่งด้วยไม้ทำให้ดูหรูหรา ส่วนห้องนอนนั้นตกแต่งด้วยพื้นไม้ปาเก้ชั้นดี ห้องน้ำเรียกว่าเข้าขั้นดีมาก โดยเฉพาะห้องน้ำใน Master Room แบ่งโซนห้องอาบน้ำ,อ่างล้างหน้าและส้วมอย่างลงตัว สำหรับห้องนอนที่เป็น Common room ก็ถือว่าตกแต่งดีน่าอยู่ เตียงทุกเตียงเป็น Queen size น่านอน สำหรับห้องนั่งเล่นมีเฟอร์นิเจอร์โซฟาอย่างดี มีจอทีวีแอลซีดีขนาดพอเหมาะให้ด้วย พร้อมโต๊ะอาหารขนาดยาวแบบแก้วและเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะ 6 ตัว ในห้องครัวมีอุปกรณ์เครื่องครัวครบครัน เช่น เตาแก๊สและเตาอบ เป็นต้น จ่ายแก๊สจากท่อ มีเครื่องดูดควัน ตู้เย็นขนาดใหญ่เหมาะสำหรับสมาชิก 10 คนยังได้ มีเครื่องซักผ้า และห้องน้ำรวมก็น่าใช้ มีแอร์อยู่ 4 เครื่อง โดย 3 เครื่องติดตั้งอยู่ห้องนอนทั้ง 3 ห้องและอีกเครื่องติดไว้ที่ห้องนั่งเล่น โดยสรุปแล้ว สภาพบ้านตกแต่งยังกับคอนโดดีๆนี่เอง เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้เยอะๆ (จริงๆน้องยุ่นเป็นคนถ่าย) เนื่องจากว่าวันที่ไปวิวบ้านนี้มีคนอื่นมาวิวด้วยหลายกลุ่ม คนเลยเดินไปเดินมาเบียดเสียดและบังมุมกล้องทำให้เก็บภาพได้ยาก

ในวันแรกที่ไปดูบ้านนี้ เราต่างพากันคิดไปว่า V กับ R เป็นพวกเดียวกัน เนื่องจากดูสนิทสนมกัน และดูเหมือนว่า V กับ R จะกันไม่ให้พวกเราเข้าถึงตัวเจ้าของบ้าน กล่าวคือ เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปคุยกับเจ้าของบ้านโดยตรงเลย ลืมแนะนำ เจ้าของเป็นผู้ชาย ทำงานเป็นตำรวจ ขอเรียกชื่อว่า L แล้วกัน เราเคยบอกความต้องการของเราให้ V ทราบว่าบ้านของเราควรเป็นเช่นไร และ V ก็เสนอบ้านนี้ซึ่งมีค่าเช่าตั้งไว้ที่ 2,500 เหรียญ แต่เราบอกว่าเราขอสู้ที่ 2,300 เหรียญ หลังจาก L พบเรา เขาบอกว่าภรรยาของเขาชอบคนไทย เขาเลยบอกว่าอยากได้พวกเรามาเป็นผู้เช่าของเขา แต่ว่าวันนั้นมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเป็นชาวอินเดียขอสู้ราคาที่ 2,500 เหรียญ เราเลย say goodbye เพราะเราสู้ราคาไม่ไหว แต่ตอนที่เราก้าวขาออกจากบ้าน คุณ V ได้ชะงักเราไว้

เมื่อเรากลับเข้ามา เราเห็นคุณ R กับ L ได้คุยซุบซิบกันเป็นภาษาจีน (คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่พูดได้ทั้งอังกฤษและจีนกลาง) จากนั้นคุณ R และ V ได้เชิญเราไปพูดในห้อง Common room โดย L รออยู่ห้องนั่งเล่น (อย่าเพิ่งงงนะว่าใครคือ R L V) เมื่อเราแยกออกมาจาก L แล้ว R ก็พูดเงียบๆว่า “นี่พวกเธอ…คุณ L เขาชอบคนไทย โดยเฉพาะภรรยาเขาชอบพวกเธอมาก แต่วันนี้ภรรยาไม่อยู่ จะอยู่ก็โน้นวันอังคาร (แต่วันนี้วันเสาร์) เห็นเปล่า คุณ L เขาไม่เอาอินเดียแม้ว่าจ่าย 2,500 ก็ตาม (เหมือนๆเหยียดเชื้อชาตินิดนึง)” และเว้นจังหวะพูดไปสักพัก และพูดต่อไปว่า “ภรรยาคุณ L เขาอยากเจอพวกเธอนะ 2,300 ก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าพวกเธอรอพบภรรยาของเขา” พวกเราก็คิดตามและยิ้มด้วยความภูมิใจที่เขาชอบคนไทย จากนั้น R พูดต่อไปว่า “เอางี้ พวกเธอวางมัดจำก่อนนะ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาทโน้น) แล้วก็มาพบภรรยาคุณ L ในวันอังคาร รอแป๊ป 3 วันรู้ผลแน่ว่าได้บ้านนี้หรือไม่ได้” เอ้ย! เราชักยังไงอยู่ ยังไม่ได้บ้านนะ แต่วางมัดจำเพื่อฟังคำตอบว่าได้ไม่ได้นี่นะ บ้าเปล่า! ที่ไหนเขาทำกัน เมื่อ R เห็นสีหน้าบูดเบี้ยวของพวกเรา R ก็เสริมต่อไปว่า “เอ่อ เอางี้ถ้าพวกเธอโอเคกับค่าเช่า 2,400 เนี่ย พวกเรา say yes ทันที ตกลงจะเอาเปล่าน้อง ?” พวกเราทั้งสามระดมความคิดสักครู่ เนื่องจากว่าสถานการณ์พาไปและเราก็ชอบบ้านนี้ซะเหลือเกิน เราก็ตอบไปว่า “โอเค เราจะรอพบภรรยา L แต่ต้องสัญญานะว่าพวกคุณจะไม่ปล่อยบ้านไปก่อน และไม่ให้ใครมาดูบ้านหลังนี้อีกก่อนจะถึงวันที่เราได้พบภรรยา L หรือวันอังคารนั่นเอง” ซึ่ง R ตอบตกลงและได้ทำเอกสารแปลกๆขึ้นมา โดยเขียนสรุปใจความได้ว่า “บ้านนี้ จองไว้ให้คนเช่า เป็นรายเดือนที่ 2,300” อ่าว! ถ้าจะว่าไปแล้ว นั่นแปลว่า พวกผมได้บ้านหลังนี้แล้วนะ แต่ R มันไม่ยอมให้เอกสารนี้ มันให้มาแค่ใบเสร็จที่ระบุว่า “พวกเราได้จ่ายเงิน 1 พันเหรียญ เพื่อมัดจำบ้านเอาไว้ ในระหว่างนี้ บ้านนี้จะไม่ปล่อยไปให้ใคร” พวกเรากลับบ้านพร้อมกับความสับสนและสงสัยว่า “เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย เราเสียเปรียบนะเนี่ย” เสียเปรียบไงเหรอ ก็คือ ก่อนถึงวันอังคารนี้ แม้เราจะไปดูบ้านที่ไหนก็ตาม ราคาถูกกว่าและชอบใจแค่ไหน พวกเราไม่มีสิทธิ์เซ็นสัญญาเช่ากับที่เหล่านั้นได้ ไม่งั้นเราจะเสียค่ามัดจำ 1,000 เหรียญ และก่อนวันอังคาร เราก็ไปดูหลายที่จริงๆแต่ไปกับตัวแทนคนอื่นครับ และเราก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่สามารถตอบตกลงที่จะเอาได้ อีกทั้ง เรายังเจอการต่อรองราคาที่หนักหน่วงแกมโกง อาจจะไม่แพ้นาย R ที่เราเพิ่งเจอมา

พอถึงวันอังคารเวลานัดหมาย เช่นเคยครับ เจอ V และก็ต้องรอ R ไปอีกเกือบ 40 นาที แต่วันนี้เหมือนๆมีการเบี้ยวอะไรกันเกิดขึ้น โดย R บอกว่าจะมีคนมาดูบ้านก่อนหน้าเรา 2 กลุ่มให้พวกเรารอข้างล่างก่อน “อ้าว! พูดงี้ก็สวยดิเพ่ ต่อยกันดีกว่า ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขาดนะครับ” (อันนี้ พูดในใจ รักษาภาพอันดีงามของไทยเอาไว้) แต่เราพูดไปว่า “ไม่ได้นะครับท่าน เรามาก่อน เรามารอก่อนเวลาตั้งเกือบชั่วโมง แล้วท่านก็บอกเราด้วยว่าเราจะได้เจอภรรยา L ตอน 11 โมง มีสัญญามัดใจไว้ด้วย แล้วท่านจะมาทำงี้กับเราได้ไง” เมื่อ V เห็นสีหน้าไม่พอใจของเรา V ก็ได้พูดต่อรอง R แล้ว R ก็บอกว่า “โอเคงั้นก็ได้ วันนี้เราจะไป cancel พวกที่จะมา” และ R ก็พูดอีกว่า “อืม จริงๆแล้วมีตัวแทนเจ้าอื่นนอกจาก V นะที่เขาได้พาลูกค้ามาดูบ้านแล้ว และทุกคนเขาให้ราคาขั้นต่ำกันที่ 2,400 เหรียญ ถ้าพวกเธออยากได้บ้านนี้จริง ฉันว่าพวกเธอเสนอไปที่ 2,400 เถอะนะ” น้องยุ่นก็ตอบกลับไปว่า “โทษนะ R แต่ไหนว่าให้เราคุยต่อรองกับภรรยาเจ้าของก่อนไม่ใช่เหรอ ขอโอกาสเราเจอและได้คุยกันก่อนเถอะนะ” R ทำหน้าบึ้งแล้วก็พาพวกเราขึ้นไปบนบ้านเพื่อพบภรรยาของ L

เมื่อถึงบ้าน วันนี้ไม่พบ L พบแต่ภรรยา L และพี่เขยของ L เท่านั้น เมื่อก้าวเข้ามา เราก็ได้แนะนำตัวแบบไทยๆ และภรรยา L ก็พูดไทยได้นิดหน่อย และก็บอกว่า “ฉันไปเมืองไทยบ่อยมาก ชอบๆ ชอบประตูน้ำ ชอบจัตุจักร ชอบ MBK ชอบฟังเพลงไทย โดยเฉพาะเอ็นโดฟินกับบิ๊กแอส” จากนั้น R ก็พาภรรยาของ L ไปคุยกันในห้อง Common room ปล่อยให้เรากับ V นั่งคุยกับพี่เขยของ L เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง R เดินออกมาและก็พา V และพวกเราออกไปนอกบ้าน และ R ก็พูดว่า “โอเคนะ เจ้าของบ้านให้พวกเธออยู่ได้ ในราคาเช่าเดือนละ 2,300” เย่! พวกเราดีใจกันแต่ไม่แสดงออก จากนั้น R ก็พูดต่อไปว่า “เจ้าของเขาชอบคนไทยก็เลยเลือกพวกเธอ แต่ขอล็อกห้อง common room ไว้หนึ่งห้อง เพราะเจ้าของเขาจดทะเบียนว่าให้เช่าแบบ 2+1 เท่านั้น” เมื่อเราได้ยินคำนั้น ลมหายใจขาดช่วงไป  และความเสียใจก็ประดังเข้ามา พร้อมกับคำก่นด่าว่า “ไอ้ จุด จุด จุด” ไปเติมเอาเอง

เจ้าของบ้านจดทะเบียนให้เช่าแบบ 2+1  หมายถึงไงเหรอครับ ก็คือถ้า 2+1 แปลว่ามีห้องนอนแค่ 2 ห้องให้เช่าได้ ซึ่งแต่เดิมนั้น เจ้าของและ V กับ R เคยบอกว่าบ้านนี้เป็นแบบ 3+1 หรือ 3 ห้องนอน อยู่ดีๆมาเปลี่ยนคำกลางอากาศได้ไง แน่นอนครับ พวกเราทุกคนคิดในใจว่า มันกำลังปฏิเสธพวกเราแบบนิ่มนวล มันตอแหลเรานี่เอง จากนั้น น้องยุ่นถาม V ไปว่า “แล้ว 2,350 ล่ะ จะขอเป็น 3+1 ได้มั้ย” ซึ่ง V ก็ตอบว่า “ไม่ได้หรอก ราคาไม่ใช่ปัจจัยแล้วล่ะ เขาจดแบบ 2+1” การต่อรองยืดเยื้อดำเนินไปอีกชั่วโมงกว่าๆ เพราะอะไรเหรอครับ ขอทบทวนอีกนิดนึง คุณ V คือตัวแทนฝั่งผม ส่วน R คือตัวแทนฝั่งเจ้าของบ้าน โดย V กับ R จะทำหน้าที่แทนลูกค้าของตนเอง เหมือนที่ปรึกษาและตัวแทนในการต่อรองราคา หากพวกเรามีคำถามอะไรจะถามภรรยา L หรือเจ้าของบ้านก็ตาม พวกเราต้องถาม V จากนั้น V จะไปถาม R แล้ว R ค่อยถาม L เรียกว่า 4 Step คือ 1) เราตั้งคำถาม 2) เราถาม V 3) V ถาม R 4) R ถามภรรยาL เมื่อนับไปกลับก็มี 8 Step กว่าคำตอบจากเจ้าของจะวิ่งถึงพวกเราก็ช้าพอควร อีกทั้ง R กับภรรยา L จะต้องปรึกษากันแบบลับๆและใช้เวลาด้วย ทำให้การต่อรองล่าช้าไปเยอะ

เมื่อผมรอจนถึงที่สุด เลยตัดสินใจพูดไปว่า “เอางี้ 2,400 โอเคมั้ย” จากเดิมที่ V บอกว่าราคาไม่ใช่ปัจจัย แล้ว V ก็กลับไปถาม R ใหม่ ซึ่งก็ใช้เวลาคิดนานมาก ก่อนจะกลับมาบอกว่า “โอเค!”… ไงล่ะครับงานนี้ เงินคือทางออกสำหรับคนที่นี่ครับ จริงๆแล้วผมมีเรื่องอีกมากมายอยากจะเล่าให้ฟัง แต่เอาเท่านี้แล้วกันครับ คงพอจะสร้างภาพให้ท่านผู้อ่านเห็นบรรยากาศว่าการหาบ้านมันยากเย็นและใช้แกมโกงเช่นไรบ้าง

คุณ V เป็นคนดีมากๆครับซึ่งมีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เราซาบซึ้งในตัวคุณ V ผมวิเคราะห์ว่าคุณ V ทราบอยู่แล้วว่า R กับเจ้าของบ้านวางแผนแล้วว่าจะเอาราคาที่ 2,400 หรือมากกว่านั้น ดังนั้น V พยายามจะให้เราถอยโดยการไปหาที่อยู่ใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อผมดั้นด้นราคาที่ 2,400 จึงทำให้เกมมันดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด ส่วนเจ้าของบ้านมีที่ปรึกษาอย่าง R ชักจูงแนะนำต่างๆให้ชิงราคาและปั่นราคาได้สูง ดังนั้น ไม่แปลกหากเจ้าของจะรอให้มีคนสู้ที่ราคาที่สูงๆ และ R ก็เหมือน sale ผู้ชำนาญศึก เลยรู้ว่าจะรบอย่างไรให้แนบเนียน เพราะหากเจ้าของได้ค่าเช่าสูงๆแล้ว R ย่อมได้เงินค่าจ้างหรือ commission จากเจ้าของที่สูงตามไปด้วย ยอมรับเลยครับ เกมนี้พวกเราเป็นรองอยู่เยอะ แต่พวกเรารักสงบและเหนื่อยกับการหาบ้านพอควร เพราะจริงๆแล้วไปหาที่อื่นก็จะเจอรูปแบบการต่อรองราคาคล้ายๆกัน อาจจะดีกว่าหรือแย่กว่าก็ไม่รู้ แต่ขี้เกียจไปหาแล้วครับ เลยตกลงเลือกที่นี่ สุดท้ายก็ได้ราคามาที่ 6 เดือนแรกจ่ายเดือนละ 2,350 ส่วน 6 เดือนต่อไปจ่ายเดือนละ 2,400 โดยทำสัญญา 1 ปี เสียค่า commission ให้ V ไป 1,175 โดยเราต้องวางเงินตอนแรกทั้งหมด 3,525 เหรียญ (ประมาณ 8.4 หมื่นกว่าบาท) ซึ่งเป็นค่า commission กับค่ามัดจำล่วงหน้า 1 เดือนเท่านั้น อย่าลืมนะ พวกผมยังมีค่าเช่าเดือนละ 2,350 สำหรับ 6 เดือนแรกและ 2,400 เหรียญสำหรับ 6 เดือนหลัง โดยรวมแล้วเราต้องจ่ายเงินค่าเช่ารวมค่าน้ำค่าไฟเดือนละไม่ต่ำกว่า 57,000 บาท

ในสิงคโปร์สมัยปัจจุบันที่ข้าวยากหมากแพงนี้ ราคาเช่า HDB ทั้งยูนิตที่ราคา 2,000 – 2,800 เหรียญถือว่าธรรมดาครับ เพราะเงินเดือนของผู้อาศัยทุกคนหากแชร์กันแล้วก็ยังพอประทังชีวิตได้ดีอยู่ครับ นี่อาจจะเป็นข้อแตกต่างที่ไทยไม่มีก็ได้ ตรงที่ของราคาแพงแต่เงินเดือนคนไทยเท่าเดิมทำให้สู้ราคาลำบาก แต่ที่สิงคโปร์ แม้ของราคาแพงขึ้น เงินเดือนจะเท่าเดิมหรือปรับขึ้นก็ยังสู้ราคาไหวอยู่ครับ

ในที่สุดก็ได้บ้านดั่งที่ตั้งใจไว้และก็ย้ายเข้าได้เดือนสิงหาคมนี้ครับ ย้ายเมื่อไหร่จะนำภาพภายในบ้านหลังจากพวกผมตั้งของต่างๆแล้วมาแสดงให้ชมกันครับ…โหดจริงๆ จำไว้นะ R จำไว้

* ขอขอบคุณข้อมูลของประเทศไทยและสิงคโปร์ในปี 2007 จาก Wikipedia

26 thoughts on “ประสบการณ์หาบ้านเช่าในสิงคโปร์

  1. ยาวมากครับ แต่ก็ยินดีด้วยที่หาบ้านใหม่ได้ ท่าทางจะน่าอยู่มาก
    ไว้จะคอยดูภาพนะครับ 🙂

  2. ครับคุณ Soowoi จริงๆอย่างที่บอกไว้ นี่เป็นการย่อแล้วครับ เรื่องจริงมันยาวนานมาก 🙂 แล้วผมจะเอาภาพมาโชว์ภายหลังครับ

  3. ยาวจริงๆหล่ะครับ กว่าจะอ่านจบ

    ค่าเช่าบ้านเดือนละครึ่งแสน แพงจริงๆครับ

  4. เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่าน ขอเอาไปแชร์ใน singtip บ้างได้ไหมครับเนี่ย

  5. annika says:

    อ่านแล้ว นึกถึงชีวิตตัวเองตอนดิ้นรนหาเช่า room ใน HDB ค่ะ แต่ตอนนั้นไม่ได้ใช้ agent ค่ะ เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน หาไปเถอะ มันไม่ได้หาง่ายๆเหมือนที่บ้านเราเลยเนอะ ตอนนั้นไม่กล้าใช้ agent ค่ะเพราะเพิ่งไปอยู่แค่ 1 เดือนกลัวอ่ะค่ะ….แต่ผ่านมาแล้วนึกถึงแล้วก็รูสึกดีที่ผ่านเรื่องยากๆมาได้ค่ะ

    • หาเจ้าของโดยตรงก็ดีครับ ล่าสุดผมก็ติดต่อเจ้าของบ้านตรงเองเลย ไม่ผ่าน agent ก็ได้ราคาดีกว่า แถมเจ้าของบ้านใจดีด้วยครับ

  6. ค่ะแต่ตอนนี้กำลังลำบากมาก มาทำงานที่ไม่อยากทำ แถมไม่รู้จักอะไร และใครเลยที่สิงคโปร์ ชีวิตต่างแดนนี่ยากจิงๆ

  7. Mew says:

    หามาร่วมสองเดือนยังไม่ได้เลยค่ะ มีอะไรแนะนำไหมค่ะ ทำไงดี

    • ลองไปประกาศไว้ใน Singtip แล้วใช่ไหมครับ

      ในทำเลที่ผมอยู่ หาบ้านได้ไม่ยากน่ะครับ ผมอยู่ฝั่ง Jurong West ประมาณ Boonlay – Pioneer น่ะครับ ถ้าสามารถหาพักพวกไปเช่าทั้งยูนิตแล้วเซ็นสัญญาเป็นปียิ่งสะดวกขึ้น แต่ผมไม่ทราบว่าทำเลอื่นหายากอย่างไรบ้างน่ะครับ

    • เป็นกำลังใจในการหาที่อยู่นะครับ ลองดูใน Singtip.com ด้วยก็ดีครับ

  8. Aey says:

    เพื่อนเราเพิ่งไปทำงานที่สิงคโปร์ ตอนนี้ 28 Jun 2011ยังหาที่พักไม่ได้เลย รบกวนแนะนำด้วยค่ะ เค้าชื่อ Pattarapong Kottapat ‘หาที่พักแถว Tiong Bahru , Red hill ใกล้ MRT(green)’

    ใครมีห้องหรือต้องการแชร์ รบกวนด้วยนะคะ
    http://www.singtip.com/profile/PattarapongKottapat?xg_source=profiles_memberList

  9. ผมไม่ชำนาญพื้นที่อื่นๆ นอกจากแถว Pioneer และ Boonlay น่ะครับ แต่ผมคาดว่าสมาชิกใน Singtip ช่วยได้ครับ

  10. แพงขนาดนี้…ถ้าเกิดอยู่คนเดียวแบบห้อง studio เล็กๆ ราคาเท่าไหร่อ่ะครับ เอาแบบหอพักบ้านเราอ่ะ

    • ห้องสตูแบบไทย หายากมากในสิงคโปร์ครับ ผมไม่เคยเห็นเลย แต่ราคาน่าจะแพงมากๆ น่าตกประมาณ 900 เหรียญขึ้นไป (หรือไม่ต่ำกว่า 22,000 บาท)

  11. Jidapa says:

    พึ่งเข้ามาอ่านค่ะและกำลังจะย้ายไปต้นสิงหานี่ก็เครียดเรื่องหาบ้านค่ะเพราะมีลูกเล็กๆ2คน. จะไปอยู่แถวๆButik Batokค่ะ ถ้ายังอยู่สิงคโปร์ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

  12. yarinda says:

    อยากติดต่ออ้ะค้ะ พอดีหนูกำลังจะไปเรียนที่สิงคโปร์ รบกวนแอดLineมาได้มั้ยค้ะ ID:yarindaa
    หรือ E-mail:yarinda.ai@hotmail.com ค้ะ 🙂

    ขอบคุณน่ะค่ะะ

      • yarinda says:

        แงงงง พี่ขาาา หนูได้บ้านไปแล้วอ้ะ 😥
        แต่ยังไงก็ขอบคุณมากน้ะค้ะะ 🙂

      • ดีแล้วครับ จริงๆแล้วพี่ไม่ค่อยรู้เรื่องเช่าบ้านเท่าไหร่ พี่กลับมาไทยตั้งแต่ปีก่อนแล้วน่ะครับ

Leave a comment